บริษัท อินเทค จำกัด | INTEG CO.,LTD

วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์

เวลา : 09.00 - 17.00 น.

ทำไมต้องพ่นทรายกันสนิมก่อนเคลือบสี? ขั้นตอนและมาตรฐานงานของพ่นทรายที่ควรรู้

​​สนิมคือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อายุการใช้งานของเหล็กและโลหะสั้นลง เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ความแข็งแรงลดลง แต่ยังส่งผลต่อความปลอดภัยและความสวยงามของชิ้นงานด้วย ซึ่งการจะกำจัดสนิมต้องอาศัยมาตรฐานงานพ่นทรายที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อให้ผิวโลหะสะอาดและพร้อมต่อการเคลือบ

การพ่นทรายไม่เพียงช่วยคืนความสะอาดให้พื้นผิว แต่ยังสร้างความหยาบที่เหมาะสมสำหรับการยึดเกาะของสีหรือสารเคลือบ ทำให้การพ่นทรายเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันสนิมและเตรียมพื้นผิวก่อนการเคลือบสีอย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจวิธีพ่นทรายกันสนิมด้วยขั้นตอนการพ่นทรายที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ISO 8501 เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าชิ้นงานจะคงทน ปลอดสนิม และพร้อมสำหรับการใช้งานจริง

เลือกอ่าน

ทำไมต้องกำจัดสนิมก่อนเคลือบสี

สนิมคืออะไร ทำไมต้องกำจัดก่อนเคลือบสี?

สนิม คือ สารที่เกิดจากกระบวนการออกซิเดชัน (Oxidation) หรือที่เรียกว่า การทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหล็กหรือโลหะสัมผัสกับน้ำหรืออากาศ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง การทำปฏิกิริยานี้จะทำให้เหล็กกลายเป็น เหล็กออกไซด์ (Iron Oxide) หรือที่เรียกว่า สนิม นั่นเอง

สนิมไม่ได้เป็นแค่คราบสกปรก แต่คือตัวการสำคัญที่ทำลายพื้นผิวโลหะจากภายในสู่ภายนอก ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

  • ลดความแข็งแรงของวัสดุ สนิมจะกัดกินเนื้อโลหะอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างอ่อนแอลงและอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง เช่น การทรุดตัวของอาคารหรือความล้มเหลวของเครื่องจักร
  • ทำลายความสวยงาม ทำให้พื้นผิวดูเก่าและเสื่อมสภาพ ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของชิ้นงาน
  • ขัดขวางการเคลือบสี หากทาสีทับลงไปบนพื้นผิวที่มีสนิม สีจะไม่สามารถยึดเกาะได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ลอกล่อนออกมาได้ง่าย

ดังนั้น การกำจัดสนิมให้หมดจดจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งก่อนการเคลือบสี เพื่อให้มั่นใจว่าสีจะยึดเกาะได้อย่างแน่นหนาและสามารถปกป้องชิ้นงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

อ่านบทความที่น่าสนใจ: สีกันสนิมมีแบบไหนบ้าง? เลือกใช้ให้ถูกกับงาน ยืดอายุวัสดุได้ยาวนาน

การพ่นทราย คืออะไร?

การพ่นทราย (Sandblasting / Abrasive Blasting) คือกระบวนการทำความสะอาดและเตรียมพื้นผิวโลหะด้วยการยิงทรายพ่น (Abrasive Media) ด้วยแรงดันลมสูงลงบนชิ้นงาน เพื่อกำจัดสนิม สีเก่า และคราบสกปรก รวมถึงสร้างความหยาบที่เหมาะสม (Anchor Profile) ให้ผิวโลหะ เพื่อให้สีหรือสารเคลือบยึดเกาะได้ดีขึ้น ทำให้การพ่นทรายถูกยกให้เป็นมาตรฐานงานพ่นทรายที่ขาดไม่ได้ในการเตรียมพื้นผิวก่อนการเคลือบสีหรือเคลือบสารป้องกันสนิม

วัสดุพ่นที่นิยมใช้ในการพ่นทรายป้องกันสนิม

  • Steel Grit / Steel Shot ให้ความสะอาดสูง ใช้กับงานโครงสร้างอุตสาหกรรม
  • Aluminum Oxide แข็งแรง คม เหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียด
  • Glass Beads ให้ผิวงานเรียบสวย ไม่ทำให้เนื้อวัสดุเสียหาย เหมาะกับงานตกแต่ง
  • Copper Slag ใช้ได้ดีกับงานกำจัดสนิมและสีเก่าในพื้นที่กว้าง เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า

ชนิดทรายพ่น

คุณสมบัติเด่น

งานที่เหมาะสม

Steel Grit / Steel Shot

ให้ความสะอาดสูง แข็งแรง

งานโครงสร้างอุตสาหกรรม เรือ และท่อเหล็ก

Aluminum Oxide

แข็งแรง คม ทนทาน

งานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร

Glass Beads

ให้ผิวเรียบ สวย ไม่ทำลายเนื้อวัสดุ

งานตกแต่งผิว และงานที่ต้องการความเรียบเนียน

Copper Slag

ประสิทธิภาพดี ราคาคุ้มค่า

งานกำจัดสนิมและสีเก่าในพื้นที่กว้าง

ทั้งนี้ การเลือกใช้วัสดุขึ้นอยู่กับลักษณะงานและมาตรฐานที่ต้องการอ้างอิง เช่น ISO 8501 หรือ SSPC / NACE เป็นต้น

พ่นทรายแห้งและพ่นทรายเปียกต่างกันอย่างไร?

  1. พ่นทรายแห้ง (Dry Blasting)

การพ่นทรายแห้งเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป โดยการยิงวัสดุพ่น (Abrasive Media) ไปที่ผิวโลหะโดยตรงโดยไม่ผสมกับน้ำ จุดเด่นคือได้ผิวที่สะอาดมาก เหมาะกับงานอุตสาหกรรมหนัก เช่น โครงสร้างเหล็ก เรือ และท่ออุตสาหกรรม แต่ข้อจำกัดคือจะเกิดฝุ่นปริมาณมาก จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสม และมีระบบดูดฝุ่นตามมาตรฐานความปลอดภัย

  1. พ่นทรายเปียก (Wet Blasting)

การพ่นทรายเปียก หรือที่เรียกกันว่า พ่นทรายน้ำ คือ การผสมละอองน้ำในกระบวนการ เพื่อลดฝุ่นและการฟุ้งกระจาย จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น ในอาคาร หรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องฝุ่น แต่ประสิทธิภาพการขัดอาจต่ำกว่าการพ่นทรายแห้ง และอาจต้องระวังการเกิดสนิม Flash Rust เร็วกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของหน้างานเป็นหลัก

อ่านบทความที่น่าสนใจ: พ่นทรายแห้ง VS พ่นทรายเปียก พ่นทรายแบบไหนให้เหมาะกับชิ้นงาน?

มาตรฐานงานพ่นทรายมีอะไรบ้าง

มาตรฐานในงานพ่นทรายมีอะไรบ้าง?

การพ่นทรายจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อทำตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างงานคุณภาพสูงที่สามารถตรวจสอบได้ และยังช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าใจตรงกัน ควบคุมคุณภาพงานได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยมาตรฐานหลักที่เกี่ยวข้องกับงานพ่นทรายมีดังนี้

1. มาตรฐาน ISO 8501 และ ISO 8503 (สากล)

มาตรฐานระดับโลกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด เพราะชัดเจน เข้าใจง่าย และทำให้เจ้าของงานสามารถตรวจสอบคุณภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้

ISO 11125

กำหนดวิธีการเตรียมเหล็กก่อนการทาสีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ISO 8501 การเตรียมเหล็กก่อนการทาสี

  • ISO 8501-1: การประเมินความสะอาดของพื้นผิวเหล็กด้วยสายตา
  • ISO 8501-2: การประเมินความสะอาดของพื้นผิวเหล็กที่เคยเคลือบแล้วด้วยสายตา

ISO 8502 การทดสอบคุณภาพผิวหลังการพ่นทราย

  • ISO 8502-1: การทดสอบในสนามสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการกัดกร่อนของเหล็กที่ละลายน้ำได้
  • ISO 8502-2: การวัดปริมาณคลอไรด์บนพื้นผิวที่ทำความสะอาดแล้ว
  • ISO 8502-3: การประเมินฝุ่นที่หลงเหลือบนพื้นผิวเหล็กที่เตรียมไว้
  • ISO 8502-4: การตรวจสอบความเป็นไปได้ของการเกิดการควบแน่นก่อนทาสี

ISO 8503 ความขรุขระของพื้นผิวหลังพ่นทราย

  • ISO 8503-1: ลักษณะความขรุขระของพื้นผิวเหล็กที่ผ่านการพ่นทราย
  • ISO 8503-2: ระดับความขรุขระของพื้นผิวเหล็กที่ผ่านการพ่นทราย

ISO 8504 วิธีการเตรียมพื้นผิว

  • ISO 8504-1: หลักการทั่วไปของการเตรียมพื้นผิว
  • ISO 8504-2: วิธีการเตรียมพื้นผิวด้วยการพ่นทราย

แต่มาตรฐานหลักที่สำคัญในงานพ่นทราย มีรายละเอียด ดังนี้

ISO 8501 จะระบุระดับความสะอาดของพื้นผิวหลังการพ่นทราย โดยแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ เช่น

  • Sa 1 ทำความสะอาดแบบเบา
  • Sa 2 ทำความสะอาดแบบทั่วถึง
  • Sa 2.5 ทำความสะอาดแบบเกือบขาว ซึ่งเป็นระดับที่ใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรม

ISO 8503 จะเกี่ยวข้องกับระดับความหยาบของพื้นผิวที่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยึดเกาะของสารเคลือบผิว

ตารางสรุปมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับการพ่นทรายและการเตรียมพื้นผิว

มาตรฐาน ISO

ขอบเขต

การใช้งานหลัก

ISO 11125

เตรียมเหล็กก่อนการทาสีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับงานเคลือบผิว

ISO 8501

ระดับความสะอาดของพื้นผิวโลหะ

ใช้ประเมินด้วยสายตาหลังการพ่นทราย เช่น Sa 1, Sa 2, Sa 2.5, Sa 3

ISO 8502

การทดสอบคุณภาพผิว เช่น คลอไรด์ ฝุ่น ความชื้น

ใช้ตรวจสอบก่อนการทาสีหรือเคลือบเพื่อป้องกันสนิมซ้ำ

ISO 8503

ความขรุขระของพื้นผิวโลหะที่ผ่านการพ่นทราย

ใช้วัด Anchor Profile เพื่อให้สีหรือสารเคลือบยึดเกาะได้ดี

ISO 8504

วิธีการเตรียมพื้นผิวโลหะ

ให้แนวทางปฏิบัติ เช่น การพ่นทราย การขัด และวิธีอื่น ๆ

2. มาตรฐาน SSPC / NACE (สหรัฐอเมริกา)

เป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกาของสมาคม SSPC (Society for Protective Coatings) และ NACE (National Association of Corrosion Engineers) เป็นองค์กรชั้นนำด้านการป้องกันการกัดกร่อนในสหรัฐอเมริกา โดยได้กำหนดมาตรฐานการเตรียมพื้นผิวโดยมีแนวทางที่คล้ายกับมาตรฐาน ISO เช่น 

  • SSPC-SP 5 ทำความสะอาดจนผิวโลหะขาวสะอาดที่สุด ซึ่งเทียบเท่ากับ Sa 3
  • SSPC-SP 10 ทำความสะอาดเกือบสมบูรณ์ เหลือคราบเพียงเล็กน้อย ซึ่งเทียบเท่ากับ Sa 2.5

3. มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย (มอก.)

แม้ว่ามาตรฐาน มอก. จะไม่ได้ระบุขั้นตอนการพ่นทรายโดยตรง แต่ก็มีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการเคลือบผิวและการป้องกันสนิม ซึ่งอ้างอิงถึงการเตรียมพื้นผิวตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามที่กำหนด

จะเห็นได้ว่า การอ้างอิงมาตรฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นการรับประกันว่างานที่ได้จะมีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถตรวจสอบได้ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด และยังช่วยให้มั่นใจได้ว่า งานพ่นทรายป้องกันสนิมจะมีประสิทธิภาพและทนทานในระยะยาว

การพ่นทรายเพื่อป้องกันสนิมมีขั้นตอนอย่างไร

ขั้นตอนการพ่นทรายป้องกันสนิม

การพ่นทรายเพื่อกำจัดสนิมและเตรียมผิวก่อนเคลือบสี จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สะอาด แข็งแรง และได้มาตรฐานสากล ดังนี้

1. เตรียมงานและพื้นที่

ก่อนเริ่มพ่นทรายต้องแน่ใจว่าได้ย้ายชิ้นงานไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม มีการระบายอากาศที่ดี หากเป็นงานกลางแจ้งต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ เช่น ลม ฝน หรือความชื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการ 

ดังนั้น ควรกั้นพื้นที่ทำงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ปฏิบัติงานทุกคนต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างครบถ้วน

2. เลือกวัสดุพ่นและอุปกรณ์

การเลือกใช้ทรายพ่นที่เหมาะสมกับประเภทของวัสดุและระดับความสะอาดที่ต้องการ จะช่วยให้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ต้องตรวจสอบสภาพของปั๊มลมและแรงดัน รวมถึงเลือกหัวพ่นที่เหมาะสมกับขนาดของทรายพ่น เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์พร้อมสำหรับการทำงาน

3. ปรับแรงดันและเทคนิคการพ่น

เมื่อเริ่มพ่นทราย ควรปรับแรงดันลมให้เหมาะสมและเคลื่อนหัวพ่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรจ่อหัวพ่นไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งนานเกินไป เพราะอาจทำให้กัดกินเนื้อโลหะมากเกินความจำเป็น และควรเน้นไปที่บริเวณที่มีสนิมเกาะติดหนาแน่นหรือตามมุมและซอกต่าง ๆ ที่ทำความสะอาดยากเป็นพิเศษ

4. ตรวจสอบพื้นผิวหลังพ่น

หยุดพ่นเป็นระยะเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ว่าพื้นผิวสะอาดได้ตามที่ต้องการหรือไม่ หากยังมีคราบสนิมหลงเหลืออยู่ ให้พ่นซ้ำจนกว่าจะได้พื้นผิวที่เรียบและสะอาด จากนั้นใช้ลมเป่าหรือเครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรมเพื่อกำจัดเศษวัสดุที่ตกค้างออกไปให้หมด

5. เคลือบผิวทันทีหลังพ่น

พื้นผิวโลหะที่สะอาดจะมีความไวต่อปฏิกิริยากับออกซิเจนและน้ำสูงมาก ทำให้เกิดสนิม Flash Rust ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการพ่นเสร็จ ดังนั้นจึงต้องทาสีหรือเคลือบผิวทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สนิมกลับมาทำลายพื้นผิวอีกครั้ง

สวมใส่ชุด ppe เพื่อความปลอดภัยในงานพ่นทรายก่อนเคลือบสี

ชุด PPE มาตรฐานความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน

นอกจากมาตรฐานงานพ่นทรายในด้านคุณภาพงานแล้ว มาตรฐานด้านความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากการพ่นทรายเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งจากฝุ่นละออง แรงดันลม และเสียงรบกวน ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างครบถ้วน ได้แก่

  • ชุดพ่นทราย (Blast Suit) ป้องกันการกระแทกและการขัดถูจากเศษวัสดุพ่นที่อาจกระเด็นใส่ร่างกาย
  • หมวกพร้อมระบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ (Blast Helmet with Air Supply) ปกป้องใบหน้า ดวงตา และป้องกันการหายใจเอาฝุ่นอันตรายเข้าสู่ร่างกาย
  • ถุงมือและรองเท้านิรภัย เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งการจับอุปกรณ์ ป้องกันการบาดเจ็บ และรับน้ำหนักในระหว่างปฏิบัติงาน
  • Ear Protection ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินจากเสียงเครื่องพ่นที่มีระดับเสียงสูงต่อเนื่อง

อ่านบทความที่น่าสนใจ: พ่นทรายกลางแจ้ง เลือกชุดป้องกันในงานพ่นทราย (PPE) แบบไหนดี?

ข้อควรระวังเพิ่มเติม

  • การทำงานกลางแจ้ง ควรกำหนดเขตพื้นที่ทำงานให้ชัดเจนและเว้นระยะห่างจากพื้นที่สาธารณะ เพื่อควบคุมการฟุ้งกระจายของฝุ่นไม่ให้ไปรบกวนผู้อื่น
  • การทำงานในโรงงานหรือพื้นที่ปิด จำเป็นต้องมีระบบระบายอากาศและการดูดฝุ่นที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว

การให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ป้องกันสนิมอย่างมั่นใจ ด้วยการพ่นทรายตามมาตรฐานสากล

การพ่นทรายไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นขั้นตอนบังคับที่สำคัญที่สุดในงานพ่นทรายป้องกันสนิมและการเตรียมพื้นผิวให้พร้อมสำหรับการเคลือบสีในระยะยาว เพราะการลงทุนกับการพ่นทรายที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้งานคุณภาพสูง ทนทาน สวยงาม และยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายหรือการซ่อมแซมที่ไม่คาดฝันในอนาคต เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุและโครงสร้าง ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว 

หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์พ่นทราย อุปกรณ์พ่นสี และอุปกรณ์ PPE คุณภาพสูง พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษา แนะนำอุปกรณ์เหมาะสม พร้อมบริการส่งมอบที่รวดเร็วทันใจ สามารถสอบถามกับทีมงานอินเทค เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการได้ทันที เราพร้อมช่วยให้งานป้องกันสนิมของคุณได้คุณภาพสูงสุดตามมาตรฐานสากล

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพ่นทรายตามมาตรฐาน (FAQ)

Q : พ่นทรายแล้วต้องทาสีทันทีหรือไม่?

A : ควรทาสีหรือเคลือบผิวทันทีหลังพ่นเสร็จ เพราะโลหะที่สะอาดจะเกิดสนิม Flash Rust ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น หากหน้างานชื้นมาก อาจใช้ Primer กันสนิม หรือป้องกันการปนเปื้อนด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมควบคู่ไปด้วย

A : ไม่มีแบบที่ดีที่สุดแบบตายตัว ต้องเลือกตามลักษณะงาน เช่น โครงสร้างเหล็ก อาจเลือกใช้ Steel Grit หรือ Steel Shot ที่กำจัดสนิมได้เร็วและให้ผิวชิ้นงานที่สะอาด หรือในงานต้องการรายละเอียดสูง เพื่อให้ผิวพร้อมต่อการยึดเกาะของสารเคลือบ อาจเลือกใช้ Aluminum Oxide ที่มีความคม แข็ง ทนสึก เป็นต้น

A : การพ่นทรายให้ความสะอาดและความหยาบที่สม่ำเสมอกว่า ซึ่งเหมาะกับงานอุตสาหกรรม ส่วนการใช้แปรงลวดเหมาะงานเล็ก ๆ หรือซ่อมเฉพาะจุด เพราะไม่ให้โปรไฟล์ผิวที่สม่ำเสมอ ตรวจรับตามมาตรฐานได้ยาก จึงไม่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมใหญ่

A : โดยทั่วไปแล้ว งานพ่นทรายจะใช้แรงดันลมอยู่ระหว่าง 80–120 psi แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และวัสดุพ่นที่ใช้ด้วย

A : ปลอดภัย หากใช้อุปกรณ์ป้องกันครบชุดและปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานพ่นทราย แต่หากไม่ใช้ อุปกรณ์ PPE มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อปอดและอวัยวะสำคัญของผู้ปฏิบัติงาน

Share :

Facebook
Email
X

เลือกอ่าน