
สนิมคืออะไร ทำไมต้องกำจัดก่อนเคลือบสี?
สนิม คือ สารที่เกิดจากกระบวนการออกซิเดชัน (Oxidation) หรือที่เรียกว่า การทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหล็กหรือโลหะสัมผัสกับน้ำหรืออากาศ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง การทำปฏิกิริยานี้จะทำให้เหล็กกลายเป็น เหล็กออกไซด์ (Iron Oxide) หรือที่เรียกว่า สนิม นั่นเอง
สนิมไม่ได้เป็นแค่คราบสกปรก แต่คือตัวการสำคัญที่ทำลายพื้นผิวโลหะจากภายในสู่ภายนอก ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- ลดความแข็งแรงของวัสดุ สนิมจะกัดกินเนื้อโลหะอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างอ่อนแอลงและอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง เช่น การทรุดตัวของอาคารหรือความล้มเหลวของเครื่องจักร
- ทำลายความสวยงาม ทำให้พื้นผิวดูเก่าและเสื่อมสภาพ ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของชิ้นงาน
- ขัดขวางการเคลือบสี หากทาสีทับลงไปบนพื้นผิวที่มีสนิม สีจะไม่สามารถยึดเกาะได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ลอกล่อนออกมาได้ง่าย
ดังนั้น การกำจัดสนิมให้หมดจดจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งก่อนการเคลือบสี เพื่อให้มั่นใจว่าสีจะยึดเกาะได้อย่างแน่นหนาและสามารถปกป้องชิ้นงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
อ่านบทความที่น่าสนใจ: สีกันสนิมมีแบบไหนบ้าง? เลือกใช้ให้ถูกกับงาน ยืดอายุวัสดุได้ยาวนาน
การพ่นทราย คืออะไร?
การพ่นทราย (Sandblasting / Abrasive Blasting) คือกระบวนการทำความสะอาดและเตรียมพื้นผิวโลหะด้วยการยิงทรายพ่น (Abrasive Media) ด้วยแรงดันลมสูงลงบนชิ้นงาน เพื่อกำจัดสนิม สีเก่า และคราบสกปรก รวมถึงสร้างความหยาบที่เหมาะสม (Anchor Profile) ให้ผิวโลหะ เพื่อให้สีหรือสารเคลือบยึดเกาะได้ดีขึ้น ทำให้การพ่นทรายถูกยกให้เป็นมาตรฐานงานพ่นทรายที่ขาดไม่ได้ในการเตรียมพื้นผิวก่อนการเคลือบสีหรือเคลือบสารป้องกันสนิม
วัสดุพ่นที่นิยมใช้ในการพ่นทรายป้องกันสนิม
- Steel Grit / Steel Shot ให้ความสะอาดสูง ใช้กับงานโครงสร้างอุตสาหกรรม
- Aluminum Oxide แข็งแรง คม เหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียด
- Glass Beads ให้ผิวงานเรียบสวย ไม่ทำให้เนื้อวัสดุเสียหาย เหมาะกับงานตกแต่ง
- Copper Slag ใช้ได้ดีกับงานกำจัดสนิมและสีเก่าในพื้นที่กว้าง เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
ชนิดทรายพ่น | คุณสมบัติเด่น | งานที่เหมาะสม |
Steel Grit / Steel Shot | ให้ความสะอาดสูง แข็งแรง | งานโครงสร้างอุตสาหกรรม เรือ และท่อเหล็ก |
Aluminum Oxide | แข็งแรง คม ทนทาน | งานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร |
Glass Beads | ให้ผิวเรียบ สวย ไม่ทำลายเนื้อวัสดุ | งานตกแต่งผิว และงานที่ต้องการความเรียบเนียน |
Copper Slag | ประสิทธิภาพดี ราคาคุ้มค่า | งานกำจัดสนิมและสีเก่าในพื้นที่กว้าง |
ทั้งนี้ การเลือกใช้วัสดุขึ้นอยู่กับลักษณะงานและมาตรฐานที่ต้องการอ้างอิง เช่น ISO 8501 หรือ SSPC / NACE เป็นต้น
พ่นทรายแห้งและพ่นทรายเปียกต่างกันอย่างไร?
- พ่นทรายแห้ง (Dry Blasting)
การพ่นทรายแห้งเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป โดยการยิงวัสดุพ่น (Abrasive Media) ไปที่ผิวโลหะโดยตรงโดยไม่ผสมกับน้ำ จุดเด่นคือได้ผิวที่สะอาดมาก เหมาะกับงานอุตสาหกรรมหนัก เช่น โครงสร้างเหล็ก เรือ และท่ออุตสาหกรรม แต่ข้อจำกัดคือจะเกิดฝุ่นปริมาณมาก จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสม และมีระบบดูดฝุ่นตามมาตรฐานความปลอดภัย
- พ่นทรายเปียก (Wet Blasting)
การพ่นทรายเปียก หรือที่เรียกกันว่า พ่นทรายน้ำ คือ การผสมละอองน้ำในกระบวนการ เพื่อลดฝุ่นและการฟุ้งกระจาย จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น ในอาคาร หรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องฝุ่น แต่ประสิทธิภาพการขัดอาจต่ำกว่าการพ่นทรายแห้ง และอาจต้องระวังการเกิดสนิม Flash Rust เร็วกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของหน้างานเป็นหลัก
อ่านบทความที่น่าสนใจ: พ่นทรายแห้ง VS พ่นทรายเปียก พ่นทรายแบบไหนให้เหมาะกับชิ้นงาน?

มาตรฐานในงานพ่นทรายมีอะไรบ้าง?
การพ่นทรายจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อทำตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างงานคุณภาพสูงที่สามารถตรวจสอบได้ และยังช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าใจตรงกัน ควบคุมคุณภาพงานได้อย่างสม่ำเสมอ
โดยมาตรฐานหลักที่เกี่ยวข้องกับงานพ่นทรายมีดังนี้
1. มาตรฐาน ISO 8501 และ ISO 8503 (สากล)
มาตรฐานระดับโลกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด เพราะชัดเจน เข้าใจง่าย และทำให้เจ้าของงานสามารถตรวจสอบคุณภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ISO 11125
กำหนดวิธีการเตรียมเหล็กก่อนการทาสีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ISO 8501 การเตรียมเหล็กก่อนการทาสี
- ISO 8501-1: การประเมินความสะอาดของพื้นผิวเหล็กด้วยสายตา
- ISO 8501-2: การประเมินความสะอาดของพื้นผิวเหล็กที่เคยเคลือบแล้วด้วยสายตา
ISO 8502 การทดสอบคุณภาพผิวหลังการพ่นทราย
- ISO 8502-1: การทดสอบในสนามสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการกัดกร่อนของเหล็กที่ละลายน้ำได้
- ISO 8502-2: การวัดปริมาณคลอไรด์บนพื้นผิวที่ทำความสะอาดแล้ว
- ISO 8502-3: การประเมินฝุ่นที่หลงเหลือบนพื้นผิวเหล็กที่เตรียมไว้
- ISO 8502-4: การตรวจสอบความเป็นไปได้ของการเกิดการควบแน่นก่อนทาสี
ISO 8503 ความขรุขระของพื้นผิวหลังพ่นทราย
- ISO 8503-1: ลักษณะความขรุขระของพื้นผิวเหล็กที่ผ่านการพ่นทราย
- ISO 8503-2: ระดับความขรุขระของพื้นผิวเหล็กที่ผ่านการพ่นทราย
ISO 8504 วิธีการเตรียมพื้นผิว
- ISO 8504-1: หลักการทั่วไปของการเตรียมพื้นผิว
- ISO 8504-2: วิธีการเตรียมพื้นผิวด้วยการพ่นทราย
แต่มาตรฐานหลักที่สำคัญในงานพ่นทราย มีรายละเอียด ดังนี้
ISO 8501 จะระบุระดับความสะอาดของพื้นผิวหลังการพ่นทราย โดยแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ เช่น
- Sa 1 ทำความสะอาดแบบเบา
- Sa 2 ทำความสะอาดแบบทั่วถึง
- Sa 2.5 ทำความสะอาดแบบเกือบขาว ซึ่งเป็นระดับที่ใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรม
ISO 8503 จะเกี่ยวข้องกับระดับความหยาบของพื้นผิวที่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยึดเกาะของสารเคลือบผิว
ตารางสรุปมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับการพ่นทรายและการเตรียมพื้นผิว
มาตรฐาน ISO | ขอบเขต | การใช้งานหลัก |
ISO 11125 | เตรียมเหล็กก่อนการทาสีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง | ใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับงานเคลือบผิว |
ISO 8501 | ระดับความสะอาดของพื้นผิวโลหะ | ใช้ประเมินด้วยสายตาหลังการพ่นทราย เช่น Sa 1, Sa 2, Sa 2.5, Sa 3 |
ISO 8502 | การทดสอบคุณภาพผิว เช่น คลอไรด์ ฝุ่น ความชื้น | ใช้ตรวจสอบก่อนการทาสีหรือเคลือบเพื่อป้องกันสนิมซ้ำ |
ISO 8503 | ความขรุขระของพื้นผิวโลหะที่ผ่านการพ่นทราย | ใช้วัด Anchor Profile เพื่อให้สีหรือสารเคลือบยึดเกาะได้ดี |
ISO 8504 | วิธีการเตรียมพื้นผิวโลหะ | ให้แนวทางปฏิบัติ เช่น การพ่นทราย การขัด และวิธีอื่น ๆ |
2. มาตรฐาน SSPC / NACE (สหรัฐอเมริกา)
เป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกาของสมาคม SSPC (Society for Protective Coatings) และ NACE (National Association of Corrosion Engineers) เป็นองค์กรชั้นนำด้านการป้องกันการกัดกร่อนในสหรัฐอเมริกา โดยได้กำหนดมาตรฐานการเตรียมพื้นผิวโดยมีแนวทางที่คล้ายกับมาตรฐาน ISO เช่น
- SSPC-SP 5 ทำความสะอาดจนผิวโลหะขาวสะอาดที่สุด ซึ่งเทียบเท่ากับ Sa 3
- SSPC-SP 10 ทำความสะอาดเกือบสมบูรณ์ เหลือคราบเพียงเล็กน้อย ซึ่งเทียบเท่ากับ Sa 2.5
3. มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย (มอก.)
แม้ว่ามาตรฐาน มอก. จะไม่ได้ระบุขั้นตอนการพ่นทรายโดยตรง แต่ก็มีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการเคลือบผิวและการป้องกันสนิม ซึ่งอ้างอิงถึงการเตรียมพื้นผิวตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามที่กำหนด
จะเห็นได้ว่า การอ้างอิงมาตรฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นการรับประกันว่างานที่ได้จะมีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถตรวจสอบได้ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด และยังช่วยให้มั่นใจได้ว่า งานพ่นทรายป้องกันสนิมจะมีประสิทธิภาพและทนทานในระยะยาว

ขั้นตอนการพ่นทรายป้องกันสนิม
การพ่นทรายเพื่อกำจัดสนิมและเตรียมผิวก่อนเคลือบสี จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สะอาด แข็งแรง และได้มาตรฐานสากล ดังนี้
1. เตรียมงานและพื้นที่
ก่อนเริ่มพ่นทรายต้องแน่ใจว่าได้ย้ายชิ้นงานไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม มีการระบายอากาศที่ดี หากเป็นงานกลางแจ้งต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ เช่น ลม ฝน หรือความชื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการ
ดังนั้น ควรกั้นพื้นที่ทำงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ปฏิบัติงานทุกคนต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างครบถ้วน
2. เลือกวัสดุพ่นและอุปกรณ์
การเลือกใช้ทรายพ่นที่เหมาะสมกับประเภทของวัสดุและระดับความสะอาดที่ต้องการ จะช่วยให้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ต้องตรวจสอบสภาพของปั๊มลมและแรงดัน รวมถึงเลือกหัวพ่นที่เหมาะสมกับขนาดของทรายพ่น เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์พร้อมสำหรับการทำงาน
3. ปรับแรงดันและเทคนิคการพ่น
เมื่อเริ่มพ่นทราย ควรปรับแรงดันลมให้เหมาะสมและเคลื่อนหัวพ่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรจ่อหัวพ่นไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งนานเกินไป เพราะอาจทำให้กัดกินเนื้อโลหะมากเกินความจำเป็น และควรเน้นไปที่บริเวณที่มีสนิมเกาะติดหนาแน่นหรือตามมุมและซอกต่าง ๆ ที่ทำความสะอาดยากเป็นพิเศษ
4. ตรวจสอบพื้นผิวหลังพ่น
หยุดพ่นเป็นระยะเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ว่าพื้นผิวสะอาดได้ตามที่ต้องการหรือไม่ หากยังมีคราบสนิมหลงเหลืออยู่ ให้พ่นซ้ำจนกว่าจะได้พื้นผิวที่เรียบและสะอาด จากนั้นใช้ลมเป่าหรือเครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรมเพื่อกำจัดเศษวัสดุที่ตกค้างออกไปให้หมด
5. เคลือบผิวทันทีหลังพ่น
พื้นผิวโลหะที่สะอาดจะมีความไวต่อปฏิกิริยากับออกซิเจนและน้ำสูงมาก ทำให้เกิดสนิม Flash Rust ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการพ่นเสร็จ ดังนั้นจึงต้องทาสีหรือเคลือบผิวทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สนิมกลับมาทำลายพื้นผิวอีกครั้ง

ชุด PPE มาตรฐานความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน
นอกจากมาตรฐานงานพ่นทรายในด้านคุณภาพงานแล้ว มาตรฐานด้านความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากการพ่นทรายเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งจากฝุ่นละออง แรงดันลม และเสียงรบกวน ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างครบถ้วน ได้แก่
- ชุดพ่นทราย (Blast Suit) ป้องกันการกระแทกและการขัดถูจากเศษวัสดุพ่นที่อาจกระเด็นใส่ร่างกาย
- หมวกพร้อมระบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ (Blast Helmet with Air Supply) ปกป้องใบหน้า ดวงตา และป้องกันการหายใจเอาฝุ่นอันตรายเข้าสู่ร่างกาย
- ถุงมือและรองเท้านิรภัย เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งการจับอุปกรณ์ ป้องกันการบาดเจ็บ และรับน้ำหนักในระหว่างปฏิบัติงาน
- Ear Protection ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินจากเสียงเครื่องพ่นที่มีระดับเสียงสูงต่อเนื่อง
อ่านบทความที่น่าสนใจ: พ่นทรายกลางแจ้ง เลือกชุดป้องกันในงานพ่นทราย (PPE) แบบไหนดี?
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- การทำงานกลางแจ้ง ควรกำหนดเขตพื้นที่ทำงานให้ชัดเจนและเว้นระยะห่างจากพื้นที่สาธารณะ เพื่อควบคุมการฟุ้งกระจายของฝุ่นไม่ให้ไปรบกวนผู้อื่น
- การทำงานในโรงงานหรือพื้นที่ปิด จำเป็นต้องมีระบบระบายอากาศและการดูดฝุ่นที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
การให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันสนิมอย่างมั่นใจ ด้วยการพ่นทรายตามมาตรฐานสากล
การพ่นทรายไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นขั้นตอนบังคับที่สำคัญที่สุดในงานพ่นทรายป้องกันสนิมและการเตรียมพื้นผิวให้พร้อมสำหรับการเคลือบสีในระยะยาว เพราะการลงทุนกับการพ่นทรายที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลจะช่วยให้ได้งานคุณภาพสูง ทนทาน สวยงาม และยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายหรือการซ่อมแซมที่ไม่คาดฝันในอนาคต เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุและโครงสร้าง ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์พ่นทราย อุปกรณ์พ่นสี และอุปกรณ์ PPE คุณภาพสูง พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษา แนะนำอุปกรณ์เหมาะสม พร้อมบริการส่งมอบที่รวดเร็วทันใจ สามารถสอบถามกับทีมงานอินเทค เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการได้ทันที เราพร้อมช่วยให้งานป้องกันสนิมของคุณได้คุณภาพสูงสุดตามมาตรฐานสากล
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- Line: integth
- Facebook: Integ จำหน่ายเครื่องพ่นสี เครื่องพ่นทราย มาตรฐานสากล
- Tel. 098-798-8539
- Email: Integ_04@integ.co.th
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพ่นทรายตามมาตรฐาน (FAQ)
Q : พ่นทรายแล้วต้องทาสีทันทีหรือไม่?
A : ควรทาสีหรือเคลือบผิวทันทีหลังพ่นเสร็จ เพราะโลหะที่สะอาดจะเกิดสนิม Flash Rust ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น หากหน้างานชื้นมาก อาจใช้ Primer กันสนิม หรือป้องกันการปนเปื้อนด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
Q : วัสดุพ่นทรายแบบไหนดีที่สุด?
A : ไม่มีแบบที่ดีที่สุดแบบตายตัว ต้องเลือกตามลักษณะงาน เช่น โครงสร้างเหล็ก อาจเลือกใช้ Steel Grit หรือ Steel Shot ที่กำจัดสนิมได้เร็วและให้ผิวชิ้นงานที่สะอาด หรือในงานต้องการรายละเอียดสูง เพื่อให้ผิวพร้อมต่อการยึดเกาะของสารเคลือบ อาจเลือกใช้ Aluminum Oxide ที่มีความคม แข็ง ทนสึก เป็นต้น
Q : พ่นทรายกับขัดด้วยแปรงลวดต่างกันอย่างไร?
A : การพ่นทรายให้ความสะอาดและความหยาบที่สม่ำเสมอกว่า ซึ่งเหมาะกับงานอุตสาหกรรม ส่วนการใช้แปรงลวดเหมาะงานเล็ก ๆ หรือซ่อมเฉพาะจุด เพราะไม่ให้โปรไฟล์ผิวที่สม่ำเสมอ ตรวจรับตามมาตรฐานได้ยาก จึงไม่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมใหญ่
Q : ต้องใช้แรงดันลมเท่าไรสำหรับการพ่นทราย?
A : โดยทั่วไปแล้ว งานพ่นทรายจะใช้แรงดันลมอยู่ระหว่าง 80–120 psi แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และวัสดุพ่นที่ใช้ด้วย
Q : การพ่นทรายปลอดภัยไหม?
A : ปลอดภัย หากใช้อุปกรณ์ป้องกันครบชุดและปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานพ่นทราย แต่หากไม่ใช้ อุปกรณ์ PPE มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อปอดและอวัยวะสำคัญของผู้ปฏิบัติงาน



