ในงานก่อสร้างที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย การป้องกันเพลิงไหม้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างอาคารคือการใช้ สีกันไฟ ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถป้องกันความเสียหายจากไฟและช่วยลดการลุกลามของเพลิง
ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสีกันไฟ ประเภทของสีกันไฟ และวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสม เพื่อปกป้องโครงสร้างจากความเสียหายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
สีกันไฟ หรือสีกันไฟโครงสร้างเหล็ก คืออะไร?
สีกันไฟ (Fireproof Paint) หรือ สีกันไฟโครงสร้างเหล็ก คือสีที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟและลดความเสียหายที่เกิดจากความร้อนสูงเมื่อเกิดเพลิงไหม้ โดยสีกันไฟจะช่วยปกป้องโครงสร้างสำคัญ เช่น โครงเหล็กและโครงสร้างอื่นๆ ที่ไวต่อไฟ ช่วยยืดเวลาให้โครงสร้างเหล่านี้คงทนทานต่อความร้อน ทำให้มีเวลาในการอพยพผู้คนและควบคุมเพลิงได้มากขึ้น
ประเภทของสีกันไฟ
สีกันไฟสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามการทำงานและคุณสมบัติของสี
1. สีกันไฟชนิดพองตัว (Intumescent Paint)
เมื่อได้รับความร้อนจากไฟ สีกันไฟชนิดนี้จะเกิดการพองตัวและขยายตัวขึ้น ทำให้เกิดชั้นป้องกันที่หนาและช่วยลดการส่งผ่านความร้อนจากไฟไปยังโครงสร้างที่อยู่ด้านล่าง โดยชั้นที่พองตัวนี้จะทำหน้าที่เหมือนฉนวนกันไฟ
2. สีกันไฟชนิดไม่พองตัว (Non-Intumescent Paint)
เป็นสีกันไฟที่ไม่พองตัวเมื่อเจอความร้อน แต่มีคุณสมบัติในการป้องกันการลุกลามของไฟโดยการลดการติดไฟของวัสดุที่ทาสีนี้ลงไป โดยสีชนิดนี้มักใช้กับวัสดุที่ไม่ไวไฟมาก เช่น คอนกรีต
วิธีการเลือกใช้งานสีกันไฟ
การเลือกใช้งาน สีกันไฟ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการปกป้องโครงสร้างของอาคารจากการเกิดเพลิงไหม้ การเลือกสีกันไฟให้เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสียหายต่อโครงสร้าง แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ที่อยู่ในอาคารได้อย่างมาก การเลือกใช้งานสีกันไฟต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1. พิจารณาประเภทของโครงสร้างที่ต้องการป้องกัน
ประเภทของโครงสร้างเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกสีกันไฟ โครงสร้างที่นิยมใช้สีกันไฟ ได้แก่
- โครงสร้างเหล็ก โครงสร้างเหล็กมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียความแข็งแรงเมื่อเจอความร้อนจากไฟ สีกันไฟชนิดพองตัว (Intumescent Paint) มักใช้กับโครงเหล็กเนื่องจากเมื่อเกิดเพลิงไหม้ สีจะพองตัวและสร้างชั้นป้องกันที่ช่วยลดความร้อนและยืดเวลาที่เหล็กสามารถทนต่อความร้อนได้
- คอนกรีต สำหรับคอนกรีตที่มีความทนทานอยู่แล้ว การใช้สีกันไฟชนิดไม่พองตัว (Non-Intumescent Paint) อาจเพียงพอ เนื่องจากสีชนิดนี้ช่วยลดการติดไฟและลดการลุกลามของไฟได้ดี
2. พิจารณาระดับการป้องกันไฟที่ต้องการ
การพิจารณาระดับการป้องกันไฟที่ต้องการขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของอาคาร เช่น
- อาคารสูง ต้องการสีกันไฟที่มีการรับรองระดับสูงในการป้องกันไฟ และควรใช้สีกันไฟที่ผ่านมาตรฐานสากล
- โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดเพลิงไหม้ควรใช้สีกันไฟชนิดพองตัวเพื่อเพิ่มเวลาในการต้านทานความร้อนและการลุกลามของไฟ
- ที่พักอาศัย อาคารที่พักอาศัยทั่วไปสามารถเลือกใช้สีกันไฟที่มีระดับการป้องกันไฟปานกลาง เพื่อป้องกันการเกิดไฟลุกลามจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ
3. ประเมินสภาพแวดล้อมของการใช้งาน
สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดเพลิงไหม้ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารที่มีการเก็บสารเคมีไวไฟ ควรใช้สีกันไฟที่สามารถทนต่อความร้อนได้สูงและมีระยะเวลาป้องกันไฟที่นานขึ้น โดยพิจารณาว่าสภาพแวดล้อมจะส่งผลต่อการทำงานของสีกันไฟหรือไม่ เช่น ความชื้นสูง การสัมผัสกับสารเคมี หรืออุณหภูมิที่ผันผวน
4. พิจารณาอายุการใช้งานของสีกันไฟ
ควรเลือกใช้สีกันไฟที่มีอายุการใช้งานยาวนานและไม่ต้องการการบำรุงรักษาบ่อยๆ โดยตรวจสอบกับผู้ผลิตว่าต้องทำการทาสีใหม่เมื่อใด อายุการใช้งานของสีกันไฟมีผลต่อค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากสีกันไฟมีอายุการใช้งานที่สั้นก็อาจต้องมีการทาสีซ้ำบ่อยครั้ง
5. วิธีการทาและความหนาของชั้นสี
การเลือกสีกันไฟที่เหมาะสมควรพิจารณาวิธีการทาสีและความหนาที่ต้องการ โดยสีกันไฟชนิดพองตัวมักต้องการความหนาของชั้นสีที่มากกว่าสีกันไฟชนิดไม่พองตัว เพื่อให้สามารถป้องกันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ การทาสีกันไฟควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ในการทาสีกันไฟ
6. พิจารณาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสีกันไฟก่อนการเลือกซื้อและติดตั้ง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานและสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการทาสีว่ามีการดำเนินการตามมาตรฐานและคำแนะนำของผู้ผลิตหรือไม่
ประโยชน์ของการใช้สีกันไฟในงานโครงสร้าง
การใช้สีกันไฟให้ประโยชน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับโครงสร้างและผู้ที่อยู่ในอาคาร
- ปกป้องโครงสร้างจากความเสียหายหากเกิดไฟไหม้ สีกันไฟช่วยลดความเสียหายจากไฟ โดยทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ความร้อนเข้าสู่โครงสร้างโดยตรง ทำให้โครงสร้างไม่เสื่อมสภาพหรือพังทลายเร็วเมื่อเจอไฟ
- เพิ่มเวลาในการอพยพหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ สีกันไฟช่วยยืดเวลาในการทนทานต่อความร้อนของโครงสร้าง ทำให้ผู้คนมีเวลาในการอพยพออกจากอาคารได้มากขึ้น ช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน
- ลดการลุกลามของไฟ สีกันไฟช่วยลดการลุกลามของไฟจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในอาคาร ทำให้เพลิงไหม้ไม่ขยายวงกว้างเกินไป ช่วยให้การควบคุมเพลิงทำได้ง่ายขึ้น
- เสริมความปลอดภัยให้กับอาคาร การใช้สีกันไฟในอาคารช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ โดยเฉพาะในอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง
- ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว การใช้สีกันไฟที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโครงสร้างที่เสียหายจากไฟ ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและการทำลายทรัพย์สินในกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้
มาตรฐานของสีกันไฟ
การเลือกใช้สีกันไฟที่มีคุณภาพต้องคำนึงถึงมาตรฐานที่ได้รับการรับรองเพื่อให้มั่นใจว่าสีสามารถป้องกันไฟได้จริง มาตรฐานสำคัญที่ควรตรวจสอบมีดังนี้
- มาตรฐาน BS 476 (อังกฤษ) : มาตรฐานการทดสอบความสามารถในการป้องกันไฟที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก มาตรฐานนี้ทดสอบการป้องกันไฟของวัสดุต่างๆ รวมถึงสีกันไฟ
- มาตรฐาน UL 263 (สหรัฐอเมริกา) : มาตรฐานการทดสอบสีกันไฟของสหรัฐอเมริกา เน้นการทดสอบการทนไฟของวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในอาคาร
- มาตรฐาน ASTM E119 (สหรัฐอเมริกา) : เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ใช้ทดสอบความสามารถในการทนไฟของวัสดุและโครงสร้างอาคาร
- มาตรฐาน EN 13501 (สหภาพยุโรป) : มาตรฐานการทดสอบวัสดุกันไฟของยุโรป เป็นมาตรฐานที่ใช้ทดสอบสีกันไฟในหลายประเทศและได้รับการยอมรับในวงการก่อสร้าง
สีกันไฟ หรือ สีกันไฟโครงสร้างเหล็ก เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการก่อสร้างและปกป้องโครงสร้างจากความเสียหายที่เกิดจากเพลิงไหม้ การเลือกใช้สีกันไฟที่มีมาตรฐานและเหมาะสมกับประเภทของโครงสร้างจะช่วยยืดอายุการใช้งานของอาคาร เพิ่มความปลอดภัยในการอพยพ และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ ควรเลือกใช้สีกันไฟที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลและติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันไฟ
อ่านบทความเกี่ยวกับสี : ความแตกต่างระหว่างสี 2K และสี 1K แตกต่างกันอย่างไร?